เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๘ ก.ย. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมะ เราศึกษา เราค้นคว้าหาสัจธรรมกันการค้นคว้าหาสัจธรรม เวลาเขาบอกโลกนี้เจริญเพราะการศึกษา...ใช่ โลกนี้เจริญเพราะการศึกษา เวลาศึกษามาๆ ศึกษามาเป็นภาคปริยัติ ศึกษามา เวลาเราจะมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราค้นคว้าหาสัจจะหาความจริงไง

ความคิดๆ ความคิดก็คือกิเลสนั่นแหละ ความคิดของเรานี่กิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้น ความคิดของเรานี่ ทีนี้เราศึกษาๆ มาศึกษามาด้วยความคิดไง ถ้าศึกษามาด้วยความคิด มันด้วยภาคปริยัติไง ภาคปริยัติศึกษามาแล้ว ศึกษามางงไหม ศึกษามาแล้วงงมาก

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์นะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานเขามาบูชาด้วยเครื่องหอม บูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนมหาศาลเขาบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ “บอกเขาบอกให้เขาปฏิบัติบูชาเถิด”

การศึกษาๆ มา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมมา ๔๕ ปี วางรากฐานไว้มากน้อยขนาดไหนถ้าวางไว้มากน้อยขนาดไหนเวลาสุภัททะๆ จะมาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ศาสนาไหนก็ว่าแน่ ศาสนาไหนก็ว่ายอดศาสนาไหนก็ว่าดี”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย “สุภัททะ อย่าถามให้มากไปเลยศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล ศาสนาไหนไม่มีการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันไม่มีผลหรอก”

วันนั้นให้พระอานนท์บวชให้ พอบวชให้ คืนนั้นปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคืนนั้น คืนนั้นเขาได้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน เวลาปรินิพพาน ยังเทศนาว่าการสั่งสอน สั่งสอนรื้อสัตว์ขนสัตว์จนสัตว์โลกได้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาอีกองค์หนึ่งน่ะ เป็นขึ้นมาเพราะอะไรล่ะเป็นขึ้นมาเพราะการปฏิบัติไง ถ้าเป็นขึ้นมาเพราะการปฏิบัติ

เราศึกษามาๆ ศึกษามาเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้น ทั้งๆที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาสัจธรรมอันนั้นทำใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้ววางสิ่งนี้ไว้ๆเราก็ศึกษากันศึกษามา ศึกษามาด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากศึกษามาก็คาดก็หวัง ศึกษามาแล้วก็จินตนาการ การจินตนาการกิเลสทั้งนั้น

ถ้าเอาจริงๆ คันถธุระวิปัสสนาธุระ เวลาวิปัสสนาธุระนะเวลาบวชขึ้นมาถ้าอุปัชฌาย์องค์ใดไม่บอกกรรมฐาน ๕ ไม่บอกถึง รุกฺขมูลเสนาสนํ ไม่บอกถึงการประพฤติปฏิบัติ การบวชนั้นไม่สมบูรณ์การบวชนั้นไม่สมบูรณ์ เห็นไหม

เราศึกษาๆ ทางวิชาการ คนสงเคราะห์สงหาเราส่งเสริมกันทั้งนั้นน่ะ พอส่งเสริมขึ้นมา ยกห้องๆเวลาให้ประกาศนียบัตรกันไปไง เราศึกษาขึ้นมาเราก็ช่วยกันส่งเสริมๆเราส่งเสริมขึ้นมาแล้วมันปฏิบัติไหมล่ะมันเอาจริงเอาจังไหมล่ะ

ถ้ามันเอาจริงเอาจังขึ้นมา เวลาสำนักที่ศึกษาเขาต้องสร้างเพื่ออำนวยความสะดวกมหาศาล วิจิตรอลังการ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านออกประพฤติปฏิบัติอยู่ในป่าในเขาไปอยู่ในป่า ในเงื้อมผา ในถ้ำในเรือนว่าง เราไปในสถานที่ที่ว่าเราไม่กวนเขาเขาก็ไม่กวนเราไง

เวลาหลวงตาท่านออกประพฤติปฏิบัติใช่ไหม ท่านบอกเลย บ้านใหญ่ๆ ก็ไม่ไปอยู่นะเพราะบ้านใหญ่ๆ ไปอยู่มันสะดวกสบายบ้านใหญ่ๆ เป็น๕๐-๖๐ หลังคาเรือน เขาดูแลรักษาทั้งนั้นน่ะแต่ตกเย็นขึ้นมาเขาก็มาขอคุยธรรมะเพราะเขาก็ทุกข์ก็ยากทั้งนั้นน่ะ เห็นไหม เราไปกวนเขา เขาก็กวนเรา

ถ้าเราไม่กวนเขา หา ๒หลัง ๓ หลังก็พอด้วยวัฒนธรรมของเขา เห็นพระมาเขาก็ต้องใส่บาตร ใส่บาตรมาก็เลี้ยงชีพเท่านั้น เรากวนเขาน้อยๆ เขาก็ไม่มากวนเรา นี่ก็เหมือนกัน เวลาสำนักปฏิบัติขึ้นมาเขาก็มีแต่เรือนว่าง มีสถานที่พอซุกหัวนอนแล้วเราก็ค้นคว้าหาสัจจะความจริง เห็นไหม เราไม่กวนเขา เขาก็ไม่มากวนเราไงถ้าเขาไม่กวนเราๆ เราก็มีเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาใช่ไหม นี่เพราะเราไม่กวนเขา

ศาสนากวนบ้านกวนเมืองไง ถ้ากวนบ้านกวนเมืองก็เพื่อส่งเสริมๆ ไงเพราะการส่งเสริมนั้นก็ต้องลากกันมาทั้งยวงไง แต่ถ้ามันประพฤติปฏิบัติก็คนเดียว เราคนเดียว หัวใจเรานี่เราเอาของเราเราคนเดียวๆองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมตรัสรู้ขึ้นมาองค์เดียว เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ ปัญจวัคคีย์๕ คนเท่านั้น

ศาสนานี้มั่นคงแข็งแรงอลังการ อลังการที่ไหนล่ะ อลังการในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อลังการในใจของพระอรหันต์ไงศาสนาพุทธเราอลังการคุณธรรม มันอลังการในความรู้สึกอันนั้น แล้วความรู้สึกอันนั้นมันอยู่ที่ไหนล่ะตะครุบเงากัน

ถ้าพูดถึงเรื่องกิเลส กิเลสก็ความคิด ความคิดความอ่านนี่กิเลสทั้งนั้นน่ะเวลาความคิดศึกษามาแล้วก็คิดมาก เป็นสมุทัย ผลของมันคือทุกข์ทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาศึกษามามหาศาลเลยศึกษาตำรามามากมายมหาศาลเลย ผลของมันเวลาทำขึ้นมาก็ทำความสงบของใจ ถ้าใจสงบขึ้นมา สิ่งที่เป็นทุกข์เป็นยากดับหมด สิ่งที่เป็นทุกข์เป็นยากดับหมดแล้วทำอย่างไรต่อไปทำอย่างไรต่อไปมันก็เกิดภาวนามยปัญญาปัญญาเกิดจากการภาวนา

ปัญญาไม่ใช่เกิดจากการค้นคว้าการวิจัยต่างๆ นั้นมันเกิดจากอวิชชา เกิดจากความไม่รู้ของเราทั้งนั้นน่ะแต่เราก็ต้องศึกษาๆ ไง เพราะคนเราบวชมาแล้ว คนเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็กลัวผิดพลาดทั้งนั้นน่ะ เวลาผิดพลาดไป ศึกษามาขนาดไหนศึกษามาก็พร้อมกับตะครุบเงาพร้อมกับตะครุบเงา พร้อมกับกิเลสของเราจินตนาการไปทั่วเวิ้งว้างไปหมดไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย

เวลาเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาเห็นไหม มีพระสมัยหลวงปู่มั่นน่ะเขาไปร่ำลือกันว่าเขาเป็นพระอรหันต์นะ สมเด็จมหาวีรวงศ์ท่านก็ตั้ง ๙ ประโยคมา ๔องค์ ๕ องค์มาตรวจสอบ ตรวจสอบแล้วตรวจสอบเล่า ตรวจสอบอย่างไรก็ตรวจสอบไม่ได้หรอก ๙ ประโยคเรียนมาจบแล้วการศึกษาของพระพุทธศาสนาจบแล้ว แล้วก็มาตรวจสอบพระปฏิบัติองค์หนึ่งตรวจสอบไม่ได้ตรวจสอบอย่างไรก็ไม่ได้

หลวงปู่มั่นลงมาจากเชียงใหม่ สมเด็จมหาวีรวงศ์ให้พาไปหาหลวงปู่มั่นให้เขาพูดถึงการปฏิบัติของเขาพอพูดจบ หลวงปู่มั่นพูดคำเดียว“มันติดสมาธิ”

นี่มันว่างๆ ว่างๆ พอว่างๆ ขึ้นมาก็ต่างคนต่างจำมาใช่ไหม ต่างคนต่างจำมาว่างๆ ว่างๆ ก็ว่างด้วยกันไง แล้วมันว่างอย่างไรมันมีอะไรให้ว่างล่ะ แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์ของเรา มันว่างเพราะอะไร มันมีเหตุมีผลอะไรที่มันว่าง มันไม่มีเหตุมีผล มันว่างอย่างนั้น ดูสิ ดูคนบ้ามันก็ว่างแล้วมันมีสติปัญญาตรงไหนแต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา มีสติปัญญา ถ้าว่างเป็นสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิขึ้นมาแล้วทำไมไม่ยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ายกขึ้นวิปัสสนาเขาก็ต้องพูดถึงการวิปัสสนาของเขา ถ้าเขาไม่มีวิปัสสนาของเขา เขาไม่ได้ทำของเขาเขาจะเอาอะไรมาพูด ถ้าเขาพูดไม่ได้ขึ้นมา

ภาคปฏิบัติไม่กวนใครทั้งสิ้น กวนแต่กิเลสในใจกิเลสในใจมันเราเอามรรคเอาผลกวนมัน ดูแลมัน ทำลายมันทำลายแต่กิเลสของเรา แล้วทำลายแล้วเป็นผู้ประเสริฐไง

เรามาวัดมาวากัน เรามาทำไม เรามาวัดมาวา ระดับของทานก็มาเพื่อเสียสละ เพื่อเสียสละนี้เป็นอามิส เห็นไหม ที่เป็นอามิสๆ ที่เราเสียสละกันอยู่นี่ เป็นอามิสมันก็เป็นบุญกุศล เป็นบุญกุศลก็เหมือนน้ำมัน น้ำมันเติมรถก็เต็มถัง เติมมากมันก็ล้นถังแล้วเวลาวิ่งไปน้ำมันก็หมดถัง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราทำเป็นอามิสๆ เพราะการกระทำของเราใช่ไหม เราศรัทธาครูบาอาจารย์องค์ไหน เราปลื้มใจมาก เราทำแล้วมันฝังใจมาก ฝังใจมากนี่บุญกุศลมหาศาลมหาศาลไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมพอหมดอายุขัยเราก็มาเกิดใหม่นี่ไง น้ำมันหมดเวลาน้ำมันหมดแล้วมันก็เวียนลงมา เวียนแล้วเวียนเล่าอยู่อย่างนั้นน่ะ การเวียนในวัฏฏะเวียนในวัฏฏะก็ทำคุณงามความดีมันก็เป็นความดีผลของวัฏฏะๆ เพราะวัฏฏะมันมีของมันอยู่อย่างนั้น ใครจะเชื่อหรือใครจะไม่เชื่อก็เป็นความจริงของมันอย่างนั้น ใครทำดีทำชั่วมันก็เป็นความจริงของมันอย่างนั้น เวลาคนทำกรรมขึ้นมากรรมให้ผลขึ้นมา กรรมก็ให้ผลอย่างนั้น

แต่เวลาเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราทำคุณงามความดีของเราเราสร้างกรรมดีของเรา กรรมดีๆ กรรมดีหรือกรรมชั่วที่เป็นอดีตมา เราไปแก้ไขมันไม่ได้ถ้าเราแก้ไข เราแก้ไขในปัจจุบันนี้ ถ้าแก้ไขในปัจจุบันนี้ แล้วเรากระทำของเราด้วยมีสติปัญญาของเรานี่ไง เป็นธรรม

ความคิดเป็นกิเลสหมดแหละ กิเลสกับธรรมในหัวใจของเราไง เราเป็นชาวพุทธๆเรากราบนะ ทุกคนกราบบูชาพระรัตนตรัยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึก เป็นรัตนตรัยของเรา รัตนตรัยของเรา เราก็กราบก็ไหว้ ถ้ากราบถ้าไหว้ ดูสิทางโลกเขา เขาก็บูชาของเขาในลัทธิศาสนาใดเขาก็บูชาของเขา เขาก็บูชาของเขา แต่ในพระพุทธศาสนาของเราบูชาแล้วให้ปฏิบัติ ให้สวดมนต์ แล้วสวดมนต์เสร็จแล้วให้นั่งภาวนาให้นั่งหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทโธ พุทธะ

พุทธะคือใคร พุทธะก็คือความรู้สึก พุทธะก็ผู้รู้ ผู้รู้ก็คือหัวใจของเรา ที่หัวใจของเราเพราะมันมืดบอดมันถึงได้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จะกล้าขนาดไหนจะกลัวขนาดไหน จะรังเกียจขนาดไหน มันก็ต้องเกิด เพราะเวลามันเกิดมันไม่รู้ตัว ถ้ารู้ตัวมันไม่เกิด

อวิชชาคือความไม่รู้มันจะกล้า มันจะกลัว มันจะรังเกียจ มันจะชอบ มันจะไม่ชอบ เกิดหมดมันต้องเกิดตามกรรมของมันน่ะการกระทำนั้นน่ะ สสารสิ่งนั้นมันมีอยู่ ภวาสวะภพ ปฏิสนธิวิญญาณปฏิสนธิวิญญาณมันทำของมันไว้ทำบุญกุศลมันก็เป็นประโยชน์กับมันใช่ไหมแต่เวลาเราทำบุญกุศลเราก็เข้าใจ

นักปฏิบัตินะ เขาไม่อยากไปเกิดบนพรหม ไม่อยากไปเกิดบนเทวดา เพราะมันต้องใช้อายุขัยยาว เขาอยากจะเกิดเป็นมนุษย์เพราะมนุษย์อายุแค่ ๑๐๐ ปี แล้วเขาอยากจะปฏิบัติ เขาอยากปฏิบัติ เขาอยากจะพ้นจากทุกข์เขาไม่อยากไปเกิดเป็นเทวดาเป็นอินทร์ เป็นพรหม นรกไม่ต้องพูดถึงมัน ยิ่งไม่อยากใหญ่เลย มันไม่อยากอยู่แล้ว แต่สวรรค์ก็ไม่อยาก เพราะเราไปเพลิดเพลินอยู่อย่างนั้นน่ะไปเพลิดเพลินอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา นี่พูดถึงนักปฏิบัติเขาหูตาสว่าง เขาคิดของเขาอย่างนี้นะ แล้วเวลาเราเกิดเป็นมนุษย์มนุษย์ถึงเป็นอริยทรัพย์

ทำไมถึงเกิดเป็นมนุษย์ล่ะ มนุษย์มันต้องมีอากาศหายใจมนุษย์มันต้องมีอาหาร ถ้ามนุษย์ขาดอาหารมนุษย์อยู่ไม่ได้ นี่ไง เพราะต้องมีอากาศหายใจต้องมีอาหารต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย มันถึงกดดันเราไงมันถึงบีบคั้นเราให้เราทุกข์ไง ถ้าบีบคั้นให้เราทุกข์ จะทำให้เราตื่นตัวไง ให้เราเห็นโทษของมันไง ถ้าเห็นโทษของมันแล้วเราก็พยายามแสวงหาไงพยายามศึกษาค้นคว้าหาทางออก ค้นคว้าหาทางออกนี่เป็นหนทาง เสร็จแล้ววางไว้ เสร็จแล้วต้องหาหนทางของเรา

รัฐบาลที่ดีเขาทำสาธารณูปโภคที่ดี เราสะดวกสบาย นี่ก็เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้เป็นแนวทาง แต่ทางของเรามันไม่มีไงอันนั้นเป็นทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าถนนเอกชน ถนนของเรา ถนนส่วนบุคคล ถนนส่วนบุคคลของเรามันไม่มีขาย นี่ไงมันไม่มีขาย แต่ทางโลกมันช่วยเหลือเจือจานกันได้ใช่ไหม ไอ้นี่มันไม่มีขาย สติก็ไม่มีขาย สมาธิก็ไม่มีขาย ปัญญาก็ไม่มีขาย

ดูสิ เวลาทางโลกเขา ในสุขภาพ ถ้าสุขภาพแข็งแรงมันก็อยู่ที่การออกกำลังกายสุขภาพจิตที่ดีๆคนเขาถามประจำ อยากจะฉลาด อยากจะไบรท์ อยากจะมีปัญญามาก แล้วบอกว่าหายใจเข้านึกพุทหายใจออกนึกโธ เขาบอกมันจะฉลาดได้อย่างไรล่ะ มันยิ่งโง่เข้าไปใหญ่เลย ไอ้หลับหูหลับตาพุทโธนี่โคตรโง่เลย

โคตรโง่เลย หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์เราท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์หมดนะ ความสำเร็จเป็นพระอรหันต์ต้องมีภาวนามยปัญญา ปัญญารู้เท่าความคิดของตน ปัญญารู้เท่ากิเลสตัณหาของตนปัญญาการเพิกถอนกิเลสในใจของตนมันโง่ที่ไหนวะ ไอ้ที่มันฉลาดๆ นั่นแหละกิเลสทั้งนั้นน่ะ เพ้อเจ้อไอ้ที่ว่าโง่ๆ โง่ๆโง่ๆ ก็สำนึกตนไง โง่ๆ ก็คิดถึงตัวเราไง โง่ๆ ก็เพื่อจะรักษาตัวไง โง่ๆ ก็เพื่อจะหาความสุขในตัวของตัวไงโง่ๆ ก็หาบ้านของเราไง

ถ้าเรามีบ้านมีเรือนขึ้นมา เรามีที่พึ่งอาศัย ใครทำสมาธิได้ก็มีคูหาคูหาของจิตคือมีบ้านมีเรือนหลังหนึ่ง คนที่มีบ้านมีเรือนหลังหนึ่งฝนตกแดดออกมันก็มีที่พึ่งอาศัยนะ คนที่ไม่มีบ้านมีเรือนมันอยู่กลางแดดกลางฝน ฝนตกแดดออกมันก็ต้องทนเอาๆ ไง การทนเอาอย่างนั้นแล้วบอกว่างๆ ว่างๆ

ว่างๆ มึงนอนผึ่งแดดอยู่นี่มึงนอนกลางแดด ว่างๆ อะไรของมึงน่ะ นี่ไงกิเลสทั้งนั้น คิดเอาๆ นี่พูดถึงภาคปริยัติ ถ้าปริยัติ กิเลสกับธรรมๆ แล้วธรรมเป็นอย่างไรล่ะ แล้วหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธนี่โง่ๆ

ลูกหลานของเรานะ ถ้ามันฉลาด มันเท่าทันตัวมันเอง มันเอาตัวรอด มันโง่หรือมันฉลาด ลูกหลานของเราคบเพื่อนมหาศาลเลย แล้วก็ไปให้คนอื่นเขาปอกลอกมัน มันฉลาดหรือมันโง่เพื่อนมันดีๆ ทั้งนั้น เพื่อนมันปอกลอกมันทั้งนั้น แล้วเราบอกลูกหลานเราฉลาดหรือ

แต่ถ้าลูกหลานเรามีสามัญสำนึก ลูกหลานเรามันเอาตัวมันรอดได้ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจเรามันฉลาด หัวใจเราเป็นอิสระ หัวใจเราไม่ให้กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันชักจูงไป ความคิดมันชักจูงไปไงอยากจะไปนู่นอยากจะไปนี่อยากจะได้นั่นอยากได้นี่ อยากเป็นนู่น อยากเป็นนี่ อยากไปหมดเลย แต่ไม่ทำอะไรเลย โดนเขาหลอกหมด

แต่ถ้าวันไหนนะ มันหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันพยายามทำตัวของมันขึ้นมานะลูกหลานเราเป็นคนดี จิตใจเราเป็นคนดีไง ถ้าจิตใจเราเป็นคนดีธรรมะไม่มีขายอยากได้ต้องทำเอา แล้วธรรมมันทำที่ไหนธรรมก็ไปศึกษาไง ไปจำมาไง ไปจำมาแล้วก็มาถากมาถางกัน

มนุษย์เกิดมามีอาวุธมหัศจรรย์มาคนละหนึ่งด้ามคือมีปาก ปากคือขวานถากเขาไปทั่ว มีปากถากเขาไป ถางเขาไปถากเขาไปทั่วศึกษามาแล้วอวดเก่งอวดรู้ไปหมดนี่ไง ลูกหลานเรามันโดนเพื่อนมันปอกลอก ไอ้นี่หัวใจมันโดนกิเลสปอกลอก แล้วปอกลอกก็อ้างธรรมะด้วยนะอ้างธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยนะ อ้างพุทธพจน์ๆ

เวลาใครมาหาเรา เราบอกว่าพุทธพจน์แขวนไว้ก่อนแขวนไว้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กิเลสมึงกับกิเลสกูมาชนกัน กิเลสทั้งนั้นน่ะ อ้างพุทธพจน์ๆ กิเลสเต็มหัว

พุทธพจน์สาธุ เราเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แก้วสารพัดนึกของเรานะ แก้วสารพัดนึก หมายถึงว่า หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านขวนขวายของท่าน ท่านได้เป็นพระอรหันต์ของท่าน นั่นสูงสุด ไอ้ของเรานะ ไอ้ระดับปานกลางขึ้นมา เราขวนขวายของเรา แก้วสารพัดนึกของเรา หัวใจเรานึกได้แค่ไหนหัวใจเราสร้างได้แค่ไหน เราจะได้ผลตอบแทนเท่านั้น

หัวใจของเราหยาบคาย หัวใจของเราไม่เชื่อถือสิ่งใด แก้วสารพัดนึก แก้วมันก็อยู่กับดินนั่นแหละแก้วมันก็อยู่ในแร่ธาตุนั่นน่ะ เราก็เดินเหยียบย่ำกันไป เราจะไม่ได้อะไรเลย แก้วสารพัดนึกๆ ใครนึก แก้วสารพัดนึก ใครเป็นคนทำ แก้วสารพัดนึก ใครเป็นคนขวนขวายขึ้นมาแก้วสารพัดนึกของใคร

พระพุทธพระธรรม พระสงฆ์เป็นศาสดาของเรา สาธุ พุทธพจน์ๆ สาธุนะเขาศึกษามาให้เล่าเรียน “สุภัททะ เธออย่าถามให้มากไปเลยศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล ถามเอามาไม่ได้”

ถามเลยนะ “ศาสนาไหนดีมาก ศาสนาไหนดีน้อยศาสนาไหนว่าดีไปหมด”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่ต้องถามๆ ปฏิบัติเอาๆ ให้พระอานนท์บวชให้คืนนั้นเป็นพระอรหันต์เลย

ถามมาทั้งชีวิตนะ เขาเป็นพราหมณ์ที่มีปัญญามากศึกษามาทุกลัทธิศึกษาไปหมด รู้ไปหมด ศึกษามาแล้วตัดสินใจไม่ได้ สุดท้ายแล้วต้องมาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะข่าวร่ำลือว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะนิพพานคืนนี้

เขาถือตัวถือตนเขามาก เขาว่าเขามีปัญญามาก ฉะนั้น เวลาความคิดเขา เขายังมีโอกาส เขาคิดว่าถ้าวันนี้ไม่ถามพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าจะนิพพานคืนนี้แล้วถ้าไม่ถามพระพุทธเจ้า เขาก็ต้องสงสัยไปตลอดชีวิต วันนั้นน่ะทำให้เขาบากหน้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วถามคำนี้ขึ้นมา

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้อยู่แล้วอนาคตังสญาณรู้อดีตอนาคต รู้หมด เพียงแต่ว่ามันเป็นสมบัติของเขา มันเป็นกิเลสในใจของเขา มันเป็นโอกาสของเขาเขาจะยอมหรือไม่ยอม นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณพุทธกิจ ๕ ใครที่มีอำนาจวาสนาแล้วชีวิตสั้น มีโอกาส ไปเอาคนนั้นก่อน ไอ้นี่มันมีวาสนา แต่ทิฏฐิมานะมันไม่ฟัง ไปพูดมันก็ไม่ฟัง แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานมันเป็นโอกาสของมันเองโอกาสของมันถ้ามันไม่ถามก็จบ ไม่ถามก็จะต้องลังเลสงสัยไปตลอดชีวิต ก็มาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าไม่ต้องถามให้มากไปเลยหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ที่เรียนมาเยอะๆ ที่มีปัญญามากๆนั่นน่ะ วางเอาไว้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เอาจิตสงบให้ได้ ถ้าจิตสงบได้ จิตเป็นอิสระจากกิเลสได้ จิตจะมีอิสระในการใช้ปัญญาของตน

ถ้าจิตยังเป็นอิสระไม่ได้คิดสิ่งใด ทำสิ่งใดมีสมุทัย มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากเจือปนมาตลอด ความคิดของเราไม่สะอาดเพราะความหวังความคาดหมายของเรามันจะสมบูรณ์ไปไม่ได้ มรรคจะสามัคคีไม่ได้มันจะเป็นสัจธรรมไม่ได้

แต่ถ้าเขาทำความสงบของใจเข้ามากิเลสมันสงบตัวลง กิเลสมันปล่อยให้จิตนี้เป็นอิสระ จิตสงบคือจิตที่เป็นอิสระจากการควบคุมของกิเลสชั่วคราว จิตสงบคือการปล่อยวางกิเลสให้เป็นอิสระชั่วคราวแต่ชั่วคราวนั้นเราใช้ปัญญาเป็นหรือไม่ชั่วคราวนั้นเรายกขึ้นสู่วิปัสสนาเป็นหรือไม่

ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนาเป็นเราจะเกิดมรรคเกิดผลในใจ ถ้ามันเกิดมรรคเกิดผลในใจ ถึงที่สุดแล้วถ้ามรรคสามัคคีมันจะเกิดสมุจเฉทปหาน มันจะเกิดการประหัตประหารกันกลางหัวใจ มันจะเกิดการประหัตประหารของมรรค ทำลายกิเลสในใจ มันจะเป็นปัจจัตตังมันจะเป็นสันทิฏฐิโก มันจะเบิกบานกลางหัวใจดวงนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอนุโมทนากับจิตอย่างนั้นจิตประเภทนั้นจิตที่พ้นจากการครอบงำของอวิชชา เอวัง